ถ้าหากพูดถึงเกาะในทะเลเมดิเตอเรเนี่ยนคงไม่มีใครไม่รู้จักเกาะ Sardinia หรือ Sardegna ในภาษาอิตาลี่ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากเกาะ Sicily นั่นเอง นอกจากนั้นเกาะแห่งนี้ยังเป็นเขตปกครองตนเองของอิตาลี่อีกด้วย ช่วงวันที่ 11-15 พ.ค. ที่ผ่านมามีโอกาสเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงานประชุมวิชาการของนักเรียนไทยในทวีปยุโรป (TSAC2016) ที่เมือง Alghero เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองยุคกลาง (Medival city) ที่สวยที่สุดและเป็นเมืองที่มีการบำรุงรักษาไว้ได้ดีที่สุดของเกาะ Sardinia แม้ว่าในช่วงหน้าร้อนจะมีเหล่านักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้มากมาย แต่เมืองแห่งนี้ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเต็มไปด้วยร้านอาหารและบาร์ที่ราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับบริการที่ได้รับ วันนี้จะมาขอเล่าถึงภารกิจลุยเดี๋ยวพิชิตเขา Mont Puget ที่อยู่หลังมหาวิทยาลัย Aix-Marseille Université (Campus Luminy) และอยู่ในเขต Park nation des calanques de Luminy ที่จริงเคยขึ้นไปบนเขาแห่งนี้กับเพื่อนๆนักเรียนป.เอกมาแล้วครั้งหนี่ง ตั้งแต่ช่วงต้นหน้าร้อน แต่คราวนั้นไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก ไม่ได้เตรียมกล้องขึ้นไปถ่ายรูปเลย มีเพียง IPhone 4 เครื่องเดียวติดตัวไปด้วย ได้มาภาพมาไม่จุใจเลย อีกทั้งจะหยุดถ่ายรูปบ่อยๆก็เกรงใจเพื่อนๆ คราวนี้เลยเตรียมตัวเต็มที่ ยอมแบกกล้อง Nikon D5100 และขาตั้งกล้องขึ้นไปด้วย รวมทั้งอาหารและน้ำดื่มที่นำขึ้นไปกินมื่อเที่ยงบนยอดเขาอีกด้วย สัมภาระงวดนี้เลยหนักกว่าคราวที่แล้วเยอะเลย แต่ไม่เป็นไร คราวนี้ไปคนเดียวเหนื่อยก็หยุดพัก อยากหยุดถ่ายรูปตรงไหนก็จัดเต็มได้เลยไม่ต้องเกรงใจใคร แต่ข้อเสียของการไปคนเดียวก็คือไม่มีเพื่อนช่วยดูทาง เลยทำให้เลือกเดินผิดเส้นทาง จึงต้องเดินไกลกว่าคราวที่แล้วเกือบๆสองกิโลเมตร กว่าจะรู้ตัวว่าเดินผิดเส้นก็สายเกินไปที่จะเลี้ยวกลับแล้วเพราะเดินมาไกลมากแล้ว ยังดีที่พอมีทางเดินเชื่อมไปยังทางขึ้นบนเขาได้ เลยไม่ต้องเดินย้อนกลับไปที่เดิม จึงถือโอกาสลองไปเส้นทางใหม่ดูแล้วกัน ของดีอีกอย่างอีกอย่างของแคว้น Provence ก็คือ ทุ่งลาเวนเดอร์ หรือ Champ de lavande นั่นเอง ซึ่งก็มีหลากหลายเส้นทางด้วยกัน ดูได้จากที่นี่ แต่ที่มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนวันนี้คือที่ Plateau de Valensole ซึ่งตั้งอยู่ใน Department Alpes-de-Haute-Provence ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส และอยู่ไม่ไกลจาก Gorges du Verdon และ Lac de Sainte-Croix และห่างจากเมือง Marseille ประมาณ 1.30ชั่วโมงโดยรถยนต์ ซึ่งมีพื้นประมาณ 800ตร.กม.อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500ม. บริเวณพื้นที่รอบๆ เต็มไปด้วยทุ่งลาเวนเตอร์อยู่เต็มไปหมด ซึ่งจะออกดอกประมาณช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. ของทุกปี ซึ่งลาเวนเดอร์เหล่านี้จะถูกเก็บเกี่ยวไปเมื่อดอกเริ่มแห้ง แล้วถูกนำไปสกัดเอาน้ำมันเพื่อทำเป็นสบู่ น้ำมันหอมระเหย น้ำหอม อีกทั้งยังถูกใช้เลี้ยงผึ้งเพื่อที่ว่าน้ำผึ้งจะได้มีกลิ่นลาเวนเดอร์ด้วย หากใครแวะมาเที่ยว Provence แล้วไม่ควรพลาดที่ไปเยี่ยมชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแคว้น รับรองไม่ผิดหวังกับความสวยงามของดอกไม้และกลิ่นหอมๆจากลาเวนเดอร์แน่นอนครับ ในวันที่อากาศดีๆในช่วงต้นฤดูหน้าร้อน ในช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ คงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการออกไปขับรถเล่น กินลม ชมวิวอีกแล้ว และวันนี้ลุงแนบแอนเดอะแก๊งค์ เลยออกไปขับรถเล่นและไปปิกนิกกันที่ Route des crêtes ถนนที่เชื่อมต่อเมือง Cassis กับเมือง La Ciotat เมืองริมทะเลทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ที่ขึ้นชื่อเรื่อง Calanque สวรรค์บนดินที่ธรรมชาติสร้างขึ้น แต่ด้วยที่น้ำทะเลในช่วงนี้ยังหนาวเกินไปที่คนจะลงไปเล่นได้ ก็เลยตัดสินใจกันไปขับรถเล่นชม Calanque จากมุมสูงแทน ทริปสวีเดนยังไม่จบนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อกันเสียก่อนซะหละ และก่อนที่จะไปดู Stockholm ขอข้ามไปเมือง Uppsala ก่อนแล้วกันนะครับ สำหรับเมือง Uppsala นั้นเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของสวีเดน รองมาจาก Stockholm, Gotheburg และ Malmo. เมืองนี้ตั้งอยู่ทางเหนือของ Stockholm ประมาณ 70กม. เป็นเมืองที่มีมหาวิทยาที่เก่าแก่ที่สุดของของแสกนดิเนเวียตั้งอยู่ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกอย่าง Anders Celsius ผู้คิดค้นหน่วยวัดอุณหภูมิ Celsius เป็นอาจารย์สอนอยู่ภาควิชาดาราศาสตร์ ที่มากไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นเมืองเกิดและตายของ Celsius อีกด้วย Lund เมืองมหาวิทยาลัยที่สงบและสวยงามมาก เป็นเมืองที่ไม่มี สถานที่สำคัญหรือสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่โด่งดังเลยนอกจาก Lund Cathedral เพราะฉะนั้นจึงเป็นเมืองที่เหมาะแก่การพักผ่อนมาก และดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสงบ มหาวิทยาลัย Lund เป็นมหาวิทยลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของประเทศ และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ประชากรของเมืองนี้มีอยู่ประมาณ 85,000 คน และกว่าครึ่งของประชาการเป็นนักเรียนนักศึกษาที่ Lund Universiry แม้ว่าช่วงหน้าร้อนของที่นี่จะไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่เพราะนักเรียนต่างปิดเทอม แต่เมืองนี้ก็มีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้ผู้คนแวะเวียนมาเยี่ยมชม อีกทั้งเมืองนี้ยังอยู่ไม่ห่างจาก Malmo เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของสวีเดน และ Copenhagen เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์กอีกด้วย เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนเมือง Copenhagen หรือ København ซึ่งหมายความว่า "ท่าเรือของเหล่าพ่อค้า" เมืองหลวงของประเทศ Denmark ที่ถือว่าเป็นจุดเชื่อมระหว่างแผ่นดินของยุโรปและสแกนดิเนเวีย การมาเที่ยวครั้งนี้มีการเตรียมตัวที่น้อยมาก ไม่ได้ดูเลยว่ามีที่ไหนน่าไปบ้าง ใช้วิธีเดินตามแผนที่ที่ทาง tourist office จัดไว้แจกให้นักท่องเที่ยว มีการเตรียมเพียงแค่การเดินทางจากสนามบินไปที่พักเท่านั้น และสิ่งแรกที่ทำให้แปลกใจเมื่อเดินทางมาถึงเมืองนี้ก็คือ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความซื่อสัตย์ ซึ่งเห็นได้จาก ทุกสถานีเมโทร จะไม่มีประตูกั้นขึ้นลงเมโทรเลย มีเพียงแค่จุดแสกนบัตรโดยสาร ให้ผู้โดยสารแสกนเองโดยไม่มีเจ้าหน้าที่คอยควบคุมเลย เมื่อพูดถึง Marseille ใครๆก็มักจะนึกถึงความวุ่นวาย มาเฟีย แก๊งฉกชิงวิ่งราว น้อยคนที่จะนึกถึงมุมสงบๆที่หาได้ง่ายๆ และมีอยู่มากมาย เพียงแค่ก้าวออกจากตัวเมืองเท่านั้นเอง วันนี้จะมานำเสนอมุมอีกมุมหนึ่งที่ชอบมากๆ นั่นก็คือการเดินป่าเลาะริมทะเทเมดิเตอเรเนี่ยน ซึ่งบริเวณนี้จะมีชื่อเรียกเฉพาะ นั่นก็คือ Calanque ที่มีลักษณะพิเศษทางธรณีวิทยา ในบริเวณนี้จะประกอบไปด้วยหุบเขาหินปูนที่แคบและสูงชัน อีกทั้งยังมีบางส่วนลาดชันจมลงไปในทะเล ซึ่งลักษณะทางภูมิประเทศแบบนี้สามารถพบได้ในบริเวณรอบๆทะเลเมดิเตอเรเนี่ยนทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ในระหว่างวันที่ 3 - 7 มีนาคมที่ผ่านมาได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานประชุมวิชาการที่เมืองมิลาน โดยใช้บริการรถไฟเชื้อสายอิตาเลี่ยนที่ชื่อว่า Thello ที่ให้บริการเชื่อมระหว่างเมืองมิลาน (Milan) ประเทศอิตาลี่ และเมืองหมากเซ่ย(Marseille) ประเทศฝรั่งเศส เริ่มให้บริการครั้งแรกของเส้นทางนี้เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2014 เดิมที Thello ให้บริการเชื่อมระหว่าง Paris Gare de Lyon และ Venice Santa Lucia และต่อมาก็เริ่มให้บริการในเส้นทางที่สองคือ Paris Gare de Lyon <--> Rome Termini ก่อนที่จะยกเลิกไปในเดือน ธันวาคม 2013 ทำให้ปัจจุบัน Thello วิ่งให้บริการอยู่เพียงสองเส้นทาง คือ Paris <--> Venice และ Marseille <--> Milan. การซื้อตั๋วก็ทำได้ง่ายๆโดยซื้อจาก เว็บไซต์ Thello , Trenitalia หรือ ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีรถไฟก็ได้ โดยราคาของรถไฟชั้นประหยัดนั้นเริ่มต้นเพียง 30€ โดยต้องจองก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตั๋วราคาชั้นประหยัดนี้ก็มีจำนวนจำกัดนะครับ ออกนอกเรื่องไปไกลแล้วกลับมาที่การเดินทางของลุงแนบกันดีกว่าครับ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ตามกำหนดแล้วจะใช้เวลาทั้งหมด 7 ชั่วโมง 20 นาที โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนรถไฟที่ไหน สุดท้ายกว่าจะถึงมิลานรถไฟก็ไปถึงปลายทางสาย 30 นาทีเลยทีเดียว เอาหละพูดถึงการเดินทางไปแล้วก็ที่นี้ก็มาสถานที่ท่องท่องของเมืองนี้กันบ้าง สถานที่แรกเลยคือ Duomo di Milano ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี่ หากไม่นับ St. Peter's Basilica ที่ตั้งอยู่ในประเทศวาติกัน อีกทั้งโบสถ์แห่งนี้ยังเป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของโลกอีกด้วย จะว่าไปเที่ยวคนเดียวมาก็เยอะ แต่รู้สึกว่าบริเวณหน้า Duomo นี่ดูน่ากลัวจริงๆ มิจฉาชีพบุกมาซึ่งๆหน้า ทั้งพวกผูกแขน ขายอาหารนก ไกด์บุ๊ค และพวกที่ไม่น่าไว้ใจอื่นๆ ช่วงหัวค่ำนี่ชุกชมมาก พอมืดแล้วก็ค่อยๆหายไป จะตั้งกล้องถ่ายรูปที ต้องเดินไปที่รถตำรวจ แล้วตั้งมันต่อหน้าตำรวจนั้นแหละ ถ่ายจนหนำใจแล้วค่อยไป ตำรวจก็ได้แต่มองแล้วขำๆ ว่าไอ้นี่มันทำอะไรของมันอยู่คนเดียว !! หลังจากที่เดินเที่ยว Vicenza จนเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยัง Padova โดย regional train ใช้เวลาไม่ถึง 30นาทีก็ถึงแล้ว Padova เป็นอีกหนึ่งหัวเมืองใหญ่ของแคว้น Veneto เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่าง Vicenza และ Venezia และเมืองแห่งนี้ยังเป็นเมืองที่มีมหาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของอิตาลี่ซึ่งก็คือ Universiry of Padova ที่มีอายุกว่า 800ปี และที่สำคัญนักวิทยาศาสตร์ที่เลื่องชื่อชาวอิตาเลี่ยน Galileo Galilei ก็เคยสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย |
Authorlสมุดบันทึกการเดินทางเล่มเล็กๆของ"ลุงแนบ" ที่จะพาท่านไปรู้จักกับสถานที่ต่างๆที่ "ลุงแนบ" มีโอกาสไปเยือน ทั้งไปเที่ยวและไปทำงาน เชิญตามไปเที่ยวกันได้เลยครับ !! Archives
October 2015
Categories
All
|