หลังจากที่เดินเที่ยว Vicenza จนเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยัง Padova โดย regional train ใช้เวลาไม่ถึง 30นาทีก็ถึงแล้ว Padova เป็นอีกหนึ่งหัวเมืองใหญ่ของแคว้น Veneto เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่าง Vicenza และ Venezia และเมืองแห่งนี้ยังเป็นเมืองที่มีมหาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของอิตาลี่ซึ่งก็คือ Universiry of Padova ที่มีอายุกว่า 800ปี และที่สำคัญนักวิทยาศาสตร์ที่เลื่องชื่อชาวอิตาเลี่ยน Galileo Galilei ก็เคยสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย
เมื่อเดินทางมาถึง Padova ก็ใกล้ค่ำแล้วจึงเดินทางไปยังที่พักเพื่อพักผ่อนทันที ซึ่งคืนนี้พักที่ Ostello “Città di Padova” แต่ก่อนจะไปที่พักก็ไป Tourist Office ก่อนเพื่อจะขอแผนที่เมืองและซื้อ PadovaCard ที่สามารถใช้เข้าชมสถานที่ต่างๆได้ฟรี อีกทั้งยังใช้ในการขึ้นรถบัสและ tram ได้ไม่จำกัดเที่ยว ซึ่งมีให้เลือกอยู่สองแบบคือ 48ชั่วโมง(16€) และ 72ชั่วโมง(21€) แม้ว่าจะอยู่ที่เมืองนี้ไม่ถึง 24ชั่วโมงแต่ก็ถือว่าคุ้มหากต้องการเข้าชม Scrovegni Chapel ซึ่งเป็นที่ที่มีจิตรกรรมฝาผนัง (frescoes) ที่ถือว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดของอิตาลี่และยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 14 เลยก็ว่าได้ ภาพวาดเหล่านี้เป็นผลงานของ Giotto ที่สมบูรณ์แบบที่สุดและถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในห้องควบคุมอุณหภูมิ จึงมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมเพียง 25คนต่อเที่ยวและให้เข้าชมได้เพียง 15นาทีเท่านั้น และห้ามถ่ายรูปภายในเด็ดขาด ภาพวาดปูนเปียกภายในโสถ์แห่งนี้จะเป็นภาพเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของพระแม่มารีและพระเยซูกว่า 40 ภาพ ซึ่งแต่ละภาพมีความสวยงานมากและสื่อถึงอารมณ์ของคนในภาพได้ดีจริงๆ หากใครคิดจะมาชมโบสถ์แห่งนี้แนะนำให้จองคิวออนไลน์มาก่อน ไม่งั้นอาจต้องมาต่อคิวซื้อตั๋วซึ่งไม่ได้รู้ว่าจะได้เข้าชมช่วงไหนได้บ้าง การเข้าชม Scrovegni Chapel เพียงที่เดียวก็ราคา 13€แล้ว แต่ถ้าหากมี PadovaCard แล้วจะเข้าชมโบสถ์แห่งนี้ได้เพียงในราคา 1€ สำหรับการจองช่วงเวลาเข้าชม
เมื่อได้ PadovaCard มาแล้วก็ขึ้นรถ Tram มุ่งหน้าไปยัง Ostello Città di Padova ซึ่งเป็น Youth hostel ราคา 19€ ต่อคืนต่อคน สำหรับห้องพักแบบ 4 เตียง แต่คินที่เข้าพักเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวในห้องพักเลยว่างไม่มีคนอื่นเข้าพักด้วยสบายไปเลย ในระหว่างทางไปที่พักก็ได้ผ่าน Landmark ที่สำคัญของ Padova อยู่สองที่นั่นก็คือ Basilica di Sant'Antonio และ Prato della Valle เลยแวะถ่ายรูปซักหน่อย ก่อนจะพักผ่อนที่โรงแรมให้หายเหนื่อยแล้วค่อยออกตะลุย Padova ในยามราตรี
หลังจากพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปหาอะไรทานแล้วก็เดินเล่นในใจกลางเมืองกันซะหน่อย ซึ่งเป็นเพียงการเดินสำรวจเส้นทางเท่านั้น ในเย็นวันเสาร์เช่นนี้ในตัวเมืองผู้คนต่างเดินออกมาทานอาหาร ตื่มกินกันคึกคักมาก ทำให้มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้คน แต่บริเวณหน้า Basilica di Saint'Antonio และ Prato della Valle กลับว่างเปล่า ทำให้สามารถเลือกถ่ายรูปได้ตามสบายเลย เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็เริ่มดึกแล้วจึงถึงเวลาที่ต้องกลับไปพักผ่อน เพื่อที่จะได้มีแรงตะลุย Padova ในวันพรุ่งนี้
ตื่นเช้ามา ทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็มุ่งหน้าไป Astronomic Observatory (La Specola) ซึ่งก็คือหอดูดาวของเมือง Padova ที่ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ไปแล้ว และอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ระหว่างทางก็จะเจอกับโบสถ์และบ้านเรื่องที่ตั้งอยู่ริมน้ำทำให้นึกถึงเวนิสเลยทีเดียว เดินเล่นชิวๆริมคลองซักพักก็มุ่งหน้าไปยัง Scrovegni Chapel ต่อเพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าชมที่จองไว้แล้ว ซึ่งดูจากภายนอกแล้ว ก็ดูไม่มีอะไรมาก เป็น chapel เล็กๆอยู่กลางสวน แต่พอเข้าไปข้างในแล้วก็ไม่ผิดหวังเลยกับความสวยงามของภาพวาดปูนเปียก
พอชม Scrovegni Chapel เสร็จก็ใกล้เที่ยวแล้วจึงเดินเข้าไปในเมืองเพื่อหาอะไรกิน และชมเมืองในเช้าวันอาทิตย์ ถนนค่อนข้างโล่ง ร้านค้าหลายร้านก็ปิด รวมถึงสถานที่ราชการต่างๆด้วย จึงได้แต่เดินเล่นถ่ายรูปจากภายนอกอาคารเท่านั้น และบริเวณนี้ก็จะมี ร้านกาแฟเก่าแก่อย่าง Caffè Pedrocchi, Comune di Padova, Palazzo della Ragione, University of Padova และร้านค้าต่างๆ
และที่พลาดไม่ได้ก็คือ Duomo di Padova หรือมหาวิหารประจำเมืองของ Padova นั่นเอง Duomo แห่งนี้ Michaelangelo ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบอีกด้วย ภายนอกดูค่อนข้างธรรมดาที่สร้างด้วยอิฐแดงแต่ใหญ่โตมโหฬาร พอเข้าไปข้างในกลับกลายเป็นสไตล์โมเดินและอลังการสมกับเป็นมหาวิหารประจำเมืองจริงๆ และที่สำคัญยังมี Baptistery (Battistero) of the Cathedral ที่มีภาพวาดปูนแปียกที่สวยไม่แพ้กันกับที่ Scrovegni Chapel เลยเพียงแค่สมบูรณ์น้อยกว่าเท่านั้นเอง
และแล้วก็มาถึงจุดที่สำคัญที่สุดของเมืองนี้ และเป็นที่ที่นักแสวงบุญชาวคริสต์ควรมาสักการะ นั้นก็คือ Saint Anthony's cathedral (Basilica di Sant'Antonio) โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นทันทีหลังจากนักบุญ Anthony เสียชีวิตลงในศตวรรษที่ 12 เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพและเก็บอัฐืของเขาไว้ และที่สำคัญที่นี่ให้เข้าชมได้ฟรี แต่ห้ามถ่ายรูปภายในโบสถ์ เมื่อเข้าไปในโบสถ์ก็จะพบชาวคริสต์อยู่มากมาย ทั้งนั้งบาทหลวง และนักบุญเดินอยู่เต็มไปหมด เห็นถึงแรงศรัทธาของผู้คนที่เดินทางมาที่นี่เพื่อสักการะบูชา Saint Anthony และภายในตัวโบสถ์ยังสวยงามตระการตามากๆ แต่เสียดายที่เก็บภาพมาฝากไม่ได้ มีแต่ภาพจากภายนอกเท่านั้น
และสุดท้ายก็เดินมาหยุดอยู่ที่ Prato della Valle ที่เป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปที่มีพื้นที่กว่า 90,000 ตารางเมตร และเป็นหนึ่งในจตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้ ที่จตุรัสแห่งนี้จะมีน้ำพุอยู่ตรงกลาง มีคลองและรูปปั้นนับร้อยตัวล้อมรอบอยู่เป็นรูปวงรี ที่จตุรัสแห่งนี้มักจะใข้จัดงานสำคัญๆอยู่บ่อยๆ และเป็นตลาดทุกวันเสาร์ แต่ช่วงที่ไปนั้นเขาจัดให้มีตลาดทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนทำให้มีคนออกมาจำจ่ายใช้สอยกันเยอะมาก ไหนๆก็เดินจนเหนื่อยมาทั้งวันแล้วจริงมาหยุดอยู่ตรงนี้เพื่อพักให้หายเหนื่อยก่อนจะเดินทางกลับเมือง Trento ที่ทำงานอยู่นั่นเอง เป็นอันจบทริปสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์นี้.